วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2550

...แห่งความเติมตื้นและชื่นชม...




วันนี้ก็เหมือนทุกๆวันหยุดเสาร์อาทิตย์ของฉัน นั่งเล่นเน็ท เปิดอ่านกระทู้ในเว็บพันทิพ แต่ที่จะไม่เหมือนทุกๆวัน ก็คือ ฉันได้รับความรู้สึกที่เปี่ยมล้น กับการได้เห็นใครทำอะไรในสิ่งที่ตัวเองรักอย่างมาก


มีกระทู้หนึ่ง ที่เจ้าของกระทู้เข้ามาถามว่า ทำไมวันนี้โลโก้เว็บ Google จึงแปลกไป คำตอบเอื้อเฟื้อหลากหลาย จนนำฉันไปสู่ความเติมตื้น...

โลโก้ Google เปลี่ยนไป มีเหตุเพราะ รำลึกถึง Luciano Pavarotti นักร้องโอเปร่าชาวอิตาเลี่ยน เสียงเทอเนอร์ ซึ่งเป็นเสียงต่ำที่สุดของนักร้องชาย เขาเป็นตำนานระดับพระกาฬ ในหมู่แวดลงโอเปร่า

(ดูประวัติ เขาได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Luciano_Pavarotti)


ฉันชอบคำโปรยของ ผู้แสดงความเห็นหนึ่งในกระทู้นั้นคือ “เป็นมนุษย์อีกคนที่ได้รู้ว่าชีวิตเค้าเกิดมาเพื่อทำอะไร” และยิ่งเมื่อได้ดูคลิปวิดิโอที่สร้างชื่อให้ Pavarotti แม้ฉันจะหัวสูงไม่พอทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงโอเปร่า แต่ครั้งนี้ ความรู้สึกแห่งท่วงทำนอง บทเพลง ความทรงพลังของน้ำเสียง และที่สำคัญที่สุด คือ ความเชื่อมั่นในสิ่งที่ Pavarotti รัก

ทุกอย่างกลับกระตุ้นความรู้สึกของฉันให้ซึมซับจนนำไปสู่ ความเต็มตื้นในบทเพลงเหล่านั้นได้... ฉันรับรู้ได้ในทันทีว่า เขารักในบทเพลงและสิ่งที่เขาทำขนาดไหน... ขอแค่เพียงได้ขับขาน เพื่อขับกล่อม ผู้คน ก็คงมีความสุขล้นหัวใจ...

น่าเสียดาย ที่ฉันรู้จักเขาช้าไป...

Pavarotti ได้เสร็จสิ้นหน้าที่ที่เขารัก ต่อ ชาวโลกในการขับขานบทเพลง
เมื่อวันที่ 6 กันยายน ที่ผ่านมา ด้วยวัย 71 ปี... จะมีใครสักกี่คนนะ ที่เกิดมาแล้วรู้ว่า ตัวเองได้เกิดมาเพื่อสิ่งใดและได้สานต่อสิ่งนั้น ต่อ ชาวโลก บ้าง...

ไม่ทันพ้นความคิดเหล่านั้น เลื่อนกระทู้ลงมาเรื่อยๆ ก็พบว่า ยังมีอีกบุคคลหนึ่ง...

Paul Potts เริ่มต้นจากโชว์ Britain's got Talen ของอังกฤษ ลักษณะโชว์ เหมือน Academy Fantasia บ้านเรา รอบแรกที่เขาขึ้นเวที มองภายนอกผิวเผิน คงไม่มีใครคาดคิดว่า เขาจะได้เป็น The winner ด้วยสูทที่เขาใส่ ที่หนึ่งในคณะกรรมการ วิจารณ์ด้วยคำว่า terrible และใบหน้าที่ประหม่าและเกร็งอย่างมาก

แต่ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป ฉันรับรู้ได้จากการตอบคำถามของเขาต่อกรรมการหญิง ที่ถามเขาว่า วันนี้คุณมาทำอะไรที่นี่

เขาตอบง่ายๆ สั้นๆ ว่า ผมมาร้องโอเปร่าครับ ... แม้หน้าจะประหม่าเหลือเกิน แต่มีอะไรบางอย่างที่ลึกมากกว่านั้น ...เหมือนเชื่อมั่น... ใน สิ่งที่ตัวเอง กำลังทำ


เมื่อเขาร้อง... น้ำเสียงก้องกังวาล ทรงพลัง เติมความรู้สึกรักในสิ่งที่ทำของผู้ร้อง...

เสียงตบมือกึกก้องทั่วเวที... และแล้ว เขาก็ผ่านเข้ารอบและเป็นผู้ชนะในที่สุด...

หากจะกล่าวว่าเพราะน้ำเสียงที่ทรงพลังขนาดนั้น ทำให้เขาชนะ ฉันไม่นึกเถียงแม้คำ แต่ที่ฉันมั่นใจว่า ที่เขาชนะการแข่งขันแล้วสามารถครองใจคนดูได้ เพราะ ความรู้สึกมุ่งมั่นและเชื่อถือในสิ่งที่ตัวเองทำ ด้วยต่างหาก

ฉันขนลุกซู่ พร้อมกับหยาดน้ำตาเล็กๆแห่งความตื้นตัน... แทนเขา...

Paul ก็เหมือน Pavarotti น้ำเสียงของเขา ไม่เพียงแต่ได้ขับขานท่วงทำนอง ให้ผู้ฟังบันเทิงเริงใจ แต่ยังนำไปสู่ ความชื่นชม ชื่นมื่น และแรงบันดาลใจ ในการเลือกที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองรักให้ดีที่สุด และมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำ...
"I Think a life in music is a life beautifully spent
and this is what I have devoted my life to"
- Luciano Pavarotti -




คิดว่าจะจบบทความที่เท่านั้นแต่ก็กลับมาต่อจนได้

อยากเขียนถึง Pavarotti ขึ้นมาอีก เพราะได้ดูคลิปที่เขาร้อง Feat กับนักร้องหลายๆคน ฉันมักจะรู้สึกดีเสมอๆ กับสิ่งที่ต่างกันสุดขั้วแต่พยายามโยงเข้าหากัน

Pavarotti เป็นศิลปินโอเปร่าก็จริง แต่เท่าที่ดูคลิปจาก Youtube แล้ว พบว่าเขาจัดคอนเสิร์ตเพื่อการกุศล โดยไปร้องคู่กับนักร้องสมัยใหม่อยู่หลายคลิป เช่น Spice girl, u2, The Cranberry, Mariah Carey, Elton John หรือแม้แต่วงอย่าง Queen!!
แต่ที่ดูจะถูกใจฉันที่สุดก็คงเป็น Pavarotti ร้องคู่กับ Liza Minelli ในเพลง New York, New York

แหม เพลงนี้มันถูกจังหวะหัวใจเต้นของฉันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอ Feat กันแบบนี้ จะไม่ให้กรี๊ดได้อย่างไร

ฉันขำ Pavarotti อยู่หน่อย ก็ตรงที่เขามาจากนักร้องโอเปร่า นั้นหมายถึง ความเรียบหรูแต่สง่างาม เน้นไปที่น้ำเสียงเสียมากกว่า ดังนั้นท่าทางของเขาก็จะติดรูปแบบอย่างนี้มา แม้กระทั่งเพลงที่น่าเต้นสวิงอย่าง New York, New York ไม่ว่า Liza Minelli จะพยายามชวนเต้นอย่างไร Pavorotti ก็ยังคงได้แค่ ขยับซ้าย ขยับขวาเท่านั้น แต่ก็ดูเป็นอะไรที่น่ารักมากๆ สำหรับตัวเขาเอง

พูดแล้วก็นึกถึง ท่อน My little town blues เสียงของ Pavarotti ขึ้นท่อนนี้ได้น่ารักน่าชังมากๆ เชียวละ



สนใจดูคลิป Pavarotti & Liza Minelli ในเพลง New York,New York
http://www.youtube.com/watch?v=X23tIynbjCQ&mode=related&search=

หรือสนใจ paul มากกว่าดูที่ http://www.youtube.com/watch?v=hVrHiLdmt4w

ลิ้งค์พันทิพ ต้นตอแห่งบทความนี้ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X5912368/X5912368.html
ป.ล. ฉันวางแผนไว้ว่า สำหรับบล็อคๆนี้แล้ว ฉันจะเขียนด้วยภาษาที่เย็นๆ เรียบๆ แต่พอเจอจังหวะสวิงกับสิ่งที่ถูกใจเข้าให้ แผนที่วางไว้ก็เป็นอันล่มสลาย ตามจังหวะมันส์สุดเหวี่ยงและความน่ารักของ Paborotti ทันที

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2550

ณ เสี้ยวความคิด "ครั้งหนึ่ง ที่ Battery Park, New York city"


ณ เสี้ยวความคิด "ครั้งหนึ่ง ที่ Battery Park, New York city"

ก่อนเดินทางมาเยือน ฉันได้อยู่เมืองเล็กๆเมืองหนึ่งในเท็กซัส

ด้วยความเล็กของเมือง วิถีชีวิตจึงแตกต่างจากเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ค ...

พอหลายคนได้ทราบว่าฉันเลือกที่จะไปเที่ยวที่นั้น เกือบทุกคนก็เตือนเป็นเสียงเดียวกัน

...ไปในทิศทางที่ค่อนข้างโหดร้ายนักต่อเมืองของเลดี้ลิเบอร์ตี้

บทสรุปต่อคำบอกเล่าบอกต่อทั้งหลายทั้งมวลคือ

นิวยอร์คน่ากลัว คนไม่เป็นมิตร เป็นพวกเดินเร็วๆ ไม่สนใจใคร

ผู้คนแล้งน้ำใจ ถ้าใครเกิดมีปัญหาอะไรขึ้นมา ก็คงหาคนช่วยเหลือได้ลำบากลำบน

แต่ทัศนคติเมื่อได้ไปอยู่(เที่ยว) ก็เปลี่ยนไป ยิ่งตอนโผล่ขึ้นมาจากรถไฟใต้ดิน

แล้วงงๆ จับทิศจับทางจะไป Battery Park เพื่อลงเรือไปดูเทพีสันติภาพ ไม่ถูก

เวลานั้น เป็นเวลาเช้า กับสถานที่ทางใต้ของเกาะแมนฮัทตัน มันเป็นย่านธุรกิจของคนที่นั้น

หลายคน ใส่สูทหรือไม่ก็ชุดทำงานดูภูมิฐาน เดินขึ้นจากรถไฟได้ก็รีบจ้ำ มุ่งหน้าไปทางเดียวกันเหมือนโดนโปรแกรม

มีกระเหรี่ยงสามตัว โผล่ขึ้นมาด้วยเหมือนกัน แต่กระเหรี่ยงสามตัวไม่ได้โดนโปรแกรมอย่างผู้คนส่วนใหญ่

จะมีก็กระเหรี่ยงสามตัว นี่แหละ ที่พยายามหาที่หยุดเดิน ยืนถกเถียงด้วยภาษาประหลาดๆของคนที่นั่น

ชี้โบ้ชี้เบ้ ตามแต่ความคิดของแต่ละคนว่าควรจะไปทางทิศทางใด

รอบกาย ถูกฝูงมนุษย์ทำงานเดินหลบหลีก ชนไหล่ ไปตลอดระยะเวลาหาข้อตกลง

ฉันอยากจะคว้าใครสักคนมาถามเสียจริงๆว่า Battery Park เนี่ยมันอยู่ตรงไหนแต่พอเห็นสีหน้า และท่าทางรีบเร่งแบบนั้น ก็ได้แต่ถอนใจ

จะมีใครกันเล่าในเมืองใหญ่ๆ โดยเฉพาะย่านธุรกิจแบบนี้ ที่จะเสียเวลาไปกับเรื่องที่ทำเงินให้เขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

ไม่ทันพ้นความคิดนั้นของฉัน...

จู่ๆก็มีผู้ชายฝรั่ง แต่งสูทผูกไท้อย่างดี เข้ามาถามว่า พวกคุณจะไปไหน ไปเทพีสันติภาพหรือเปล่า ?

แล้วนั้นเอง ก็เป็นจุดเปลี่ยนความคิดของฉันต่อบิ๊กแอปเปิ้ล เพียงแค่เสี้ยวเล็กๆ ที่เปลี่ยนความคิดคนได้

เท่านั้นฉันก็ลบความคิดในแง่ร้ายต่อนิวยอร์คออกทันที... ทุกที่ก็เหมือนกันใช่ว่าจะมีคนแล้งน้ำใจอยู่ในเมืองใหญ่อย่างเดียวเสียเมื่อไหร่กัน...

ใครว่านิวยอร์คเกอร์แล้งน้ำใจ จะเถียงให้ขาดใจสุดดิ้น...