วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551

"มหัศจรรย์แห่งรัก"

เดี๋ยวนี้ทางช่อง PBS ได้นำหนังไทยเก่าๆ มาฉายใหม่
เผอิญเปิดไปเจอพอดี เลยได้ดูหนังเรื่อง "มหัศจรรย์แห่งรัก"

ไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า เพลงนี้ เป็นเพลงประกอบหนัง ด้วย
ทั้งชื่อหนังและชื่อเพลง เป็นชื่อเดียวกัน

"มหัศจรรย์แห่งรัก" เป็นเพลงรักหวาน ที่มีความหมายลึกซึ้ง
ฟังเพลงนี้แล้ว ได้ความรู้สึกเดียวกับเพลง ashita and san

เพียงแต่เพลงนี้ เป็นรักบริสุทธิ์ที่อาจจะมีกันและกัน
ไม่เหมือน ashita and san ที่ ว่าง เพราะได้ "วาง" ลงแล้ว

หนังเรื่องนี้ โดยรวมทั่วไป ฉันยังรู้สึกว่า ตัวละครบางตัว
ยังไม่มีเหตุผลที่มาที่ไปของการกระทำเท่าที่ควร

หนังยังบิ้วอารมณ์ให้คนดูน้อยเกินไปในบางตัวละคร

แต่วันนี้ ฉันไม่อยากจะวิจารณ์ที่ตัวหนัง แต่อยากจะพูดถึง แก่นของหนัง

ไม่รู้ว่า เพราะอะไร เหมือนประจวบเหมาะพอดีที่ทำให้
สองวันนี้ รับรู้ถึงอารมณ์รักของผู้ใหญ่

เมื่อวาน จิ๋วส่งลิ้งค์หนังเรื่อง The Bridges Of Madison County
ซึ่งจิ๋วบอกว่า เป็นหนังรักในแบบฉบับผู้ใหญ่ที่เป็นหนึ่งในดวงใจของอ.เสกสรร ประเสริฐกุล

แล้วจิ๋ว ก็ถามกลับมาว่า หนังรักของผู้ใหญ่นี่เป็นอย่างไรหรือ ?

ฉันเข้าไปอ่านเรื่องย่อของหนังเรื่องนั้นแล้วพบว่าตัวเองเคยดู
เป็นหนังเกี่ยวกับ ความรัก อีกรูปแบบหนึ่ง รัก ที่ ในมาตรฐานสังคม
คงเรียกได้ว่า นั้นคือ กามารมณ์ และลงท้ายกับคำตราหน้าว่า ชู้

ฉันยังนึกแปลกใจว่า ถ้านั้นเรียกว่า ความชั่ววูบ กามารมย์ และ ชู้ จริงแล้ว
ทำไม ฟรานเชสกา นางเอกในเรื่องนั้น ตอนจบ จึงขอให้เอาเถ้ากระดูกตัวเอง
ไปโปรยลงแม่น้ำ เหนือสะพานโรสแมน สะพาน ที่เธอได้พบ คินเคด ชู้รัก
ของเธอเป็นครั้งแรก เพื่อความระลึกถึง ด้วยเล่า ?

ความชั่ววูบ ที่เกิดขึ้น จะยืนยาว เท่าชีวิตของผู้หญิงคนนึงเชียวหรือ
หรือว่านั้นไม่ใช่ความชั่ววูบ แต่เรียกว่า รักในอีกรูปแบบนึง?

อย่างไรก็ตาม ด้วยบรรทัดฐานสังคม และ ความรับผิดชอบ ที่เรามักจะพูดกันว่าเป็นของคนที่โตแล้ว
ทำให้ นางเอกในหนังเรื่องนั้น เลือกที่จะอยู่กับครอบครัวที่น่ารัก น่าอบอุ่น
ของเธอต่อไปด้วยความสาวที่ได้ตายลงไปเรื่อยๆ

การตัดสินใจของนางเอก นั้นแหละมั้ง ที่ทำให้เรียกว่า นั้นคือความรักในแบบฉบับของผู้ใหญ่

คุยกับจิ๋วไปก็นึกถึงหนังเรื่อง Unfaithful ขึ้นมาอีกเรื่อง
หนังเรื่องนี้ ถือว่าเป็นหนังผู้ใหญ่ แต่ไม่รู้จะเรียกได้ว่า เป็นหนังรักในแบบฉบับผู้ใหญ่หรือเปล่า

ประเด็นที่ทำให้นึกถึงหนังเรื่องนี้ ขึ้นมาในขณะที่กำลังพูดถึงหนังเรื่อง
The Bridges Of Madison County ก็คือ

การนอกใจ กันนั้นเอง... The Bridges Of Madison County กล่าวว่า
ความสาวของผู้หญิงได้ตายลงไปพร้อมกับการแต่งงาน

หนังสองเรื่อง มีประเด็นที่น่าสนใจ เดียวกันคือ ประเด็นนี้

ผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านที่ดี เลี้ยงลูก รับใช้สามี ย่อมแก่ลงไปทุกวันๆ
ความหวือหวา ในชีวิต ย่อมหดหายไป ...

คำว่า ชู้ ให้ความตื่นเต้น ที่ดีกว่า สร้างความกระชุ่มกระชวย ขึ้นมาในทันใด
มันคงเป็นสัญญาตญาณของมนุษย์ ที่ต้องการความท้าทายและแปลกใหม่

นางเอกในเรื่อง ทั้งสอง หากใช้คำทั่วไปในบรรทัดฐานสังคม ก็คือ เลือกที่จะมี ชู้

สำหรับหนังเรื่อง "มหัศจรรย์แห่งรัก" ก็ใช้ประเด็น ชู้ เข้ามาเป็นเรื่องขัดแย้งหลักเหมือนกัน

นภา มีชู้ทางใจกับ อุทัย เพื่อนชาย สมัยเรียนมหาวิทยาลัย

พจน์ สามีนภา แม้ในหนังจะไม่ได้บอกว่า เขา ไปมีอะไรกับ เลขาส่วนตัวจริงหรือไม่
แต่ เขาก็พูดออกมาว่า อะไรละ ที่เรียกว่า ชู้ การมีเช็กส์กับผู้หญิงอีกคน ในขณะที่เขายังคงรักภรรยาอยู่
หรือ การไม่มีอะไรกับใครที่ไหน แต่ใจนั้น รักกับอีกคนที่ไม่ใช่สามี ?

หนังไม่ได้ตอบประเด็นนี้หรอก แต่หนังก็ชู ความรัก ที่บริสุทธิ์มากกว่านั้น
นั่นคือ ความรักในสถาบันหลักของมนุษย์ ความรักที่ มี พ่อ แม่ และลูก

หนังเรื่องนี้ จะว่าไปก็เหมือน love actually ของไทยเหมือนกัน
เพราะมีหลายคู่ หลายรูปแบบของความรัก ดำเนินเรื่องอยู่ในหนัง

นภา กับ พจน์ ต่างคนต่างมีชู้ ไม่ว่าทางใจหรือทางกาย
สุดท้ายก็ให้อภัยซึ่งกันและกัน และพร้อมที่จะดำเนินชีวิตครอบครัวใหม่

อุทัย ผู้ชายที่รัก นภามาตลอดชีวิต

ดอน ผู้ชายที่ใครก็รักอย่างจริงจัง กับ ดาว ที่มีปัญหากับคนรักคนปัจจุบัน

มล กับ ที่รักของเธอ แม้ระยะทางจะห่างไกลกันครึ่งโลก เชียงใหม่และนิวยอร์ค
ซึ่งในสมัยนั้น คำว่าอินเตอร์เน็ทยังไม่แพร่หลาย ได้แต่เขียนจดหมายซึ้งๆ ส่งถึงกัน

ดารกา น้องสาว นภา กับ ชาย นักธุรกิจที่ยังไม่ได้หย่ากับเมีย ที่สุดท้ายเขาก็โดนยิงตาย

รจ เพื่อนนภา ที่มีปมด้อยเก็บกด ในความ สวยกว่า รวมกว่า เก่งกว่า มีคนรักมากกว่า ของนภา
รจ ระเบิด ปมด้อยของเธอ จนเกือบทำให้ครอบครัวนภาแตกแยก
แต่สุดท้าย ความเป็นเพื่อนก็ทำให้กับประสานได้ใหม่

เดือน เพื่อนของนภา นล อุทัย และรจ กาวใจของทุกคน

มหัศจรรย์แห่งรัก เกิดขึ้นได้ ทุกวัน ทุกเวลา เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มันก็เป็นพลังอันยิ่งใหญ่เสียทีเดียว
ฉันชอบหนังเรื่องนี้ที่สุด ก็คงเป็นภาษาสวยๆของ มล เวลาเขียนจดหมาย บอกเล่าเรื่องราวนั้นเอง

นอกจาก มหัศจรรย์แห่งรัก ที่ว่านั้นแล้ว อีกประเด็นที่ทำให้หันกลับมาย้อนคิดก็คือ เรื่อง ชู้

โอ ฉันเพิ่งรู้ว่า คำนี้ มันใกล้กับตัวเราเองเสียเหลือเกิน...
เพื่อนฉันคนนึง ก็อาจจะเรียกได้ว่า เข้าข่ายนี้เสียเหมือนกัน นั้นแหละที่ทำให้ฉันบอกว่า มันใกล้ตัว
เพียงแต่เธอและผู้ชายของเธอ และผู้หญิงของเขา ทั้งสามยัง ไม่ได้แต่งงาน กับใครที่ไหนเท่านั้น

ด้วยนิสัยของเพื่อนฉันคนนั้น และพฤติกรรมของผู้ชายเอง ฉันกล้าสรุปได้เลยว่า
นอกจาก ความใกล้ชิดและความผูกผันทีเกิดขึ้นแล้ว มันก็คือ ความตื่นเต้นและท้าทายนั้นเอง

ท้าทายและตื่นเต้นสำหรับผู้หญิงเพื่อนฉัน ที่เธอจะได้มีอะไรกับใครเป็นครั้งแรก
มันคงเป็นเรื่อง ที่สามารถสร้างสีสัน และ โอ้อวด ตามนิสัยของเธอที่ยึดติดกับเรื่องแบบนี้ได้ไม่น้อย

ท้าทายและตื่นเต้น สำหรับ เขา กับการได้มีอะไรกับผู้หญิงคนใหม่ๆ ไม่ใช่แบบเดิมๆ

ท้าทายและตื่นเต้น สำหรับ เธอและเขา ทั้งสองคนที่ได้แอบร่วมรักหลับนอน ในขณะที่ผู้หญิงอีกคนไม่รู้ตัว
เช้าขึ้นมา ก็มาหาที่คอนโด หลับนอน แล้วกลับบ้านไป อยู่กับผู้หญิงอีกคนของเขา

หนังรักแบบผู้ใหญ่ มักมีประเด็นนี้เข้ามารวมด้วย ...

เขาว่าหนังเอง ก็เหมือนละครชีวิต มันคือความจริงที่สะท้อนมาในรูปของเซลล์ลูลอยด์

ถ้าอย่างนั้น ชีวิตครอบครัว ก็ต้องมีความสุ่มเสี่ยงที่จะต้องประสบพบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้หรือ ?

ฉันเคยมั่นใจว่าหากคนที่รักกันมากๆ แต่งงานกันไป คำว่า นอกใจคงเกิดขึ้นยาก
ใช่ ตอนนี้ฉันก็ยังมั่นใจแบบนี้อยู่ แต่หลังจากได้รับรู้เรื่องราวของเพื่อนคนนั้น และหนังรักฉบับผู้ใหญ่แบบนี้แล้ว
ความมั่นใจจากร้อย ก็ลดลงไป...

อย่างหนัง ... นั้น เปิดฉากมา นางเอกและสามีของเธอ ก็ดูรักกันดี และยังคงรักกันอยู่ด้วยซ้ำไป
เรื่อง Unfaithful นางเอกของเรื่อง ยังคงผูกพัน กับสามีของเธอ

แล้ว ทำไม ถึงต้อง มี ชู้ ด้วยเล่า ?

มันคงไม่พ้น คำว่า กิเลส มนุษย์ได้หรอก... ความอยาก และ ไม่อยาก นั้นไง ที่เป็นตัวกระตุ้นอยู่

อยาก มีชีวิต ที่ตื่นเต้น ไม่อยาก อยู่กับชีวิตที่จำเจ

อะไรเข้ามาเย้ายวนหน่อย ก็ปล่อยใจ ไปตามสายธารแห่งกิเลสนั้น
จิตใจคนเรา เปลี่ยนได้เป็นร้อยหนพันหน

เราจะนิ่งนอนใจได้อย่างไรว่า คนที่เราคบด้วย แต่งงานด้วย จะไม่เป็นอย่างนั้น
อย่าว่าแต่ตัวคนอื่นเลย ตัวเราเองนั้นแหละ จะเป็นไปด้วยไหม ?

มันเป็นเรื่องที่น่าคิด สำหรับฉันเอง...
มีหลายคู่ หลายคน ที่ฉันได้รับรู้ ทั้งผ่านหนังละคร หรือชีวิตจริง หรือในอินเตอร์เน็ท

มันก็มีกรณี ที่ผู้ชายดี ประเสริฐเลิศเลอ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เจ้าชู้
ผู้หญิง ก็ดีใจ เหมือนได้ลาภประเสริฐ แต่พอเวลาผ่านไป ทำไมความดีของผู้ชายถึงได้หายไป

สุดท้ายผู้ชาย ก็มี เมียน้อย บางคน ถึงขนาด ต้องหย่าขาดกันไป

สำหรับฉันแล้ว กับคนที่คบกันอยู่ปัจจุบัน ก็กล้าพูดได้ว่า เป็นผู้ชายที่ดีที่เดียว
แล้วฉันก็เคย ย่ามใจว่า เขาไม่เป็นดังผู้ชายแบบนั้นแน่

แต่ตอนนี้ การได้รับรู้ และ ประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นตามอายุ
ทำให้ ฉันคิดใหม่ ไม่ใช่ว่าจะไม่ไว้ใจ แต่เป็นสิ่งที่ฉันควรจะต้องทำใจและเผื่อใจไว้บ้างต่างหาก

อะไรๆก็ไม่แน่ไม่นอน ไม่ใช่หรือ ...

แล้วกิเลสคน มันง่ายที่จะดับนักหรือ ?

ถึงกระนั้น ฉันก็ยังเชื่อมั่นใน "มหัศจรรย์แห่งรัก" อยู่นั้นเอง...

วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

โอชิน...พี่ตูนคิดถึง...

เช้าวันวิสาขบูชาที่ 19 พ.ค. 51

ม่านตาหนาหนักลงมาจะปิดตาเพราะความบวมน้ำอย่างรู้สึกได้...แต่แปลก ที่ฉันก็ข่มให้ม่านตานั้นปิดลงหลับไม่ได้เลย...
ไม่แน่ใจว่าเมื่อคืนได้นอนหรือเปล่า...สมองว่างและตื้อชอบกล...

อุ๋มเข้ามาปลุกแล้วบอกว่า โอชิน ตายแล้วนะ ... ฉันตอบน้องกลับไปว่า
“รู้แล้วนั่งเฝ้ามันเมื่อคืนไม่ได้นอนเลย”
หลังจากคำตอบของฉัน อุ๋มก็เดินออกจากห้องไป...
ฉันพยายามข่มตาให้หลับอีกครั้ง แต่ก็ทำไม่ได้เช่นเคย...

วันนี้วัน “วิสาขบูชา”..
เมื่อนอนหลับไม่ได้ ก็ลุกขึ้นมา...เพื่อเผชิญกับความจริงว่า ...
เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดาของโลก...

น้ำตาเหือดแห้งหายไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืน ฉันคิดว่าฉันทำใจได้แล้วที่จะไม่ร้องไห้...

แต่ก็ต้องมาพบว่าจิตใจตัวเองเปราะบางเกินไป ลุกขึ้นได้ฉันก็เดินไปหน้าประตูที่ที่โอชิน
จะนอนอยู่ประจำ และเป็นที่ที่สุดท้ายของมัน...

ว่างเปล่า...

“คุณพ่อเอาโอชินไปไว้ไหน” ฉันรู้ว่ายังไม่ได้ฝัง เพราะคุณพ่อกับคุณแม่จะต้องไปทำบุญที่วัดก่อน
ถ้าขุดหลุมฝังคงจะไม่ทันแน่
“ไว้หลังบ้านก่อน เดี๋ยวมาฝัง” เท่านั้นเอง น้ำตาฉันก็ไหล
รีบเดินไปดูหลังบ้าน ก็ไม่เห็น ไม่แน่ใจว่าหลังบ้านตรงไหนกันแน่
แต่ก็ไม่อยากหา เพราะกลัวเห็นแล้วจะร้องไห้ไปมากกว่านี้...

เปล่าเลย...ฉันร้องไห้มากกว่าที่ฉันกลัวเสียอีก...

ฉันเดินไปอุ่นก๋วยจั๊บที่คุณแม่ซื้อมาเมื่อคืน...แกะถุง...เทน้ำซุปลงบนชาม...น้ำตาก็ไหลพร่างพรู...
เปิดไมโคเวฟ...ปิดมัน...อุ่นชามนั้น...ยืนดูจนน้ำซุปเดือดปุดๆ...น้ำตายังไหลเป็นทาง...
ตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะกินข้าว..แปรงฟัน...อาบน้ำ...ฉันก็เลือกที่ปล่อยให้ใจมันร้องไปเสียอย่างนั้น

...

ฉันกลั้นน้ำตาของตัวเองไปไว้ไม่ได้เลยสักนิด...
ตอนเช้าที่เจอแม่เม้า...รู้สึกได้เลยว่า แม่เม้าชะงักไปนิดตอนเจอฉัน...
เขาคงคิดว่าฉันไม่รู้ละมั้ง...

...“มันไปแล้ว”...

น้องอุ๋มบอกว่า แม่เม้าไม่กล้าเปิดประตูตอนเช้า วันนี้วันพระแม่เม้าต้องไปทำบุญที่วัด
แม่เม้าจะเป็นคนแรกในบ้านที่ตื่น และตามปกติ แม่ก็จะเปิดประตูบ้าน...
แต่เช้านี้แม่เม้า กลัว...ความจริง...ที่ต้องเผชิญ...

อุ๋มลุกแล้วเดินเข้าห้องพระ มองไปที่หน้าต่าง...
ฉันเลยรู้ว่าโอชินนอนอยู่ตรงไหน หลังบ้านของคุณพ่อ ก็คือข้างบ้าน ที่ประจำที่หมาบ้านเราจะถูกฝังที่นั้น...
ฉันเดินตามน้องเข้าไป เห็นผ้าปูนอนของมันเมื่อคืน...ไม่เห็นร่างโอชินหรอกนะ และก็ไม่เดินออกไปดูด้วย

เพราะกลัวใจตัวเองมากเกินไปแล้ว...

ภาพแรกที่ฉันได้เจอโอชินยังอยู่ในความทรงจำ
พอแม่ได้มาก็จับโอชินไว้ในกรงหมาที่พ่อต่อขึ้นมา...กรงนี้ตั้งอยู่หลังบ้าน...
ฉันเห็นหลังโอชินก่อนเป็นอันดับแรก
โอชินนั่งเหม่อมองไปอีกบ้านหนึ่ง แม่ว่ามันชื่อโอชิน...ฉันก็เรียกมัน...โอชินหันมาหาฉันด้วย...
แต่ด้วยท่าทางตื่นตระหนก ช่างตรงกันข้ามกับฉันเสียจริงๆ...ที่ตื่นเต้นที่ได้เจอมัน...

ในตอนแรกโอชินเป็นหมาขี้ขลาด...ไม่อ้อนเลยด้วยซ้ำ...
ไม่เห่าเลยจนใครๆก็สงสัยว่ามันส่งเสียงได้หรือเปล่า

แต่หลังๆมา เหมือนจะได้ลิ้มลอง การเห่า มันก็เห่าไม่หยุดเลย

ในตอนแรกโอชินยังโดนสีเงิน หมาเก่าที่อยู่ที่บ้านมาก่อนคอยข่ม...
ทั้งๆที่สายเลือดของมันไม่ยอมใคร...

ฉันจำได้ทั้งหมด พอๆกับเรื่องราววีรกรรมของมัน
ที่คู่หู-เต้าหู้ ชอบลากไปหาเรื่องหมาบ้านอื่น หรือหาเรื่องคนให้บ้านเราต้องรับผิดชอบ

หรือท่าทางที่มันชอบนอน กริยาที่บ่งบอกถึงความขี้เกียจ ไม่ว่าจะเป็นการนอนขาแบะขวางทางประตู
หรือนอนเอาคางเกยไว้บนขอบพื้น หน้าประตูที่ยกสูงขึ้นมาจากหน้าบ้าน...

จน...ถึงภาพสุดท้ายของมันเมื่อคืนนี้...

ฉันบอกให้โอชินอดทนทุกครั้ง...เพราะเชื่อในความอึดของมัน...แต่ครั้งนี้มันคงทนไม่ไหวแล้วจริงๆ...
ตอนที่ฉันพบมันหมดลมหายใจ...ตัวมันยังอุ่นอยู่เลย...ฉันน่าจะอยู่ข้างๆมันจนมันสิ้นใจ...

ฉันเขย่าตัวมัน เรียกชื่อมัน แต่มันคงไม่หันมาอีกแล้ว...ตาโอชินยังไม่ปิดเลยด้วยซ้ำ

ฉันไม่แน่ใจว่าเพราะฉันบอกมันให้อดทนไว้หรือเปล่า...มันถึงพยายามไม่ให้ตัวเองหายไป...

...

ความไม่เที่ยงเป็นสิ่งเที่ยงแท้ถาวร...เป็นกฏอนันตกาล...บนโลกใบนี้...
สังขารย่อมแตกตับไปตามกฏนั้น...

...

ฉันขังตัวเองไว้กับความเศร้าเสียใจ...ทั้งวัน...
ฉันเก็บความเศร้าโศกเป็นเงาไว้ดำทะมึน บดบัง...ความจริงอีกเสี้ยวไว้...

...

วันนี้วันวิสาขบูชา...ฉันควรจะ “ตื่น” เสียที

...


ฉันไม่ได้นอนเลยตั้งแต่ตีหนึ่งเมื่อคืนจนถึงเที่ยงวันของวันวิสาขบูชา...
ร่างกายฉันเริ่มอุธรณ์ร้องเตือนให้ฉันไปนอนโดยเร็วด้วยอาการปวดหัว...
ฉันเลยเข้าไปนอนในช่วงนั้นและหลับยาว จนอุ๋มเข้ามาถามว่า จะไปกินไอติมไหม ป้ารินทร์จะมารับ...
ฉันก็ตอบรับไป และตอนเย็นเลยได้ออกไปข้างนอก...น้ำตาแห้งไปมากแล้ว

แต่ตาฉันก็ยังช้ำเหมือนเป็นเครื่องเตือนว่าความเศร้าไม่ได้จางหายไปไหน...

เมื่อได้ออกไปนอกบ้านซึ่งเย็นมาก...เลยคิดชวนน้ารินทร์ ไปเวียนเทียน
เวลาประจวบเหมาะพอดี เลยได้ไปกัน...

ฉันไม่ได้เวียนเทียนมานานแล้ว...ครั้งนี้มีโอกาสก็อยากจะรีบทำ
เพราะอยากจะอุทิศส่วนกุศลให้โอชินไปด้วย...

...

ธรรมะเป็นเครื่องดับทุกข์ของมนุษย์...

...

ผู้คนครึกครัก ต่างถือดอกไม้ ธูป เทียน เตรียมพร้อมเวียนเทียน
คนใดมาก่อนจะรีบไปก็ไม่ต้องรอฤกษ์เวียนไปก่อนได้ทันที
ควันธูป ควันเทียน ฟุ้งไปทั่วบริเวณนั้น ฉันก็ร่วมเดินกับเขา ในใจคิดอุทิศส่วนกุศลให้โอชินอย่างเดียว

แน่วแน่เดินให้ครบสามรอบ... พุทโธ ธรรมโม สังโฆ...
ด้วยหวังว่าความตั้งใจของฉันจะส่งผลให้กุศลในการทำเช่นนี้แรงกล้าแผ่ไปถึงโอชินได้

ระหว่างขาก้าวไปแต่ละก้าว ฉับพลัน ความคิดก็แล่นคืนย้อนสู่อดีต...
ใช่แล้ว...จงกรม...สติตั้งมั่น เป็นตัวจับอยู่กับความรู้สึกที่เกิดขึ้น...
เศร้าหรือ ? ... เสียใจหรือ ? ... โศกาอาดูรหรือ ? ...

ทั้งหมดก็แค่นั้น เกิดขึ้น เดี๋ยวก็ดับไป...

แล้วฉันก็เริ่มจับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้เรื่อยๆ...

ด้วยความที่รีบออกเดินไปก่อน ทั้งๆที่จะถึงฤกษ์เวียนเทียนอย่างเป็นทางการของหอพระ
ทำให้รอบสุดท้ายของฉัน เป็นรอบเริ่มต้น ของฤกษ์ทางการพอดี
ฉันเลยเดินแยกออกมาจากแถวและหยุดนั่งพนมมือสวดมนต์ บนสนามหญ้าข้างๆทางเดินเวียนเทียนนั้น...

จิตใจสงบขึ้นอย่างประหลาด...และเริ่มปล่อยว่างลงเรื่อยๆ...

ตลอดระยะเวลาแห่งการเดินเวียนเทียนและนั่งสวดมนต์ภาวนา
ฉันได้ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลครั้งนี้ให้กับโอชิน หมาที่ฉันรักและผูกพันไปหมดทั้งสิ้น

ความจริงเกิดขึ้นแล้ว และเอาอดีตคืนมาก็ไม่ได้แล้ว...ที่ฉันทำได้คืออยู่กับปัจจุบันเท่านั้นเอง

หลังจากจบพิธี ฉัน น้องอุ๋ม และน้ารินทร์ เดินออกจากหอพระ ไปยังรถที่จอดไว้ ...
สองขาก้าวพ้นหอพระไปเรื่อย ฉันเอง กลัวว่าสิ่งที่ฉันอุทิศให้กับโอชินจะยังไม่พอ
เลยภาวนาในใจอีกรอบว่า ขออุทิศส่วนบุญนี้ให้กับโอชิน หมาที่บ้านไปทั้งหมด
และกำลังจะพลั้งความคิดต่อไปว่า ขอให้มาเกิดเป็นหมาบ้านเราอีก...
...

สติมา ปัญญาจึงเกิด

...

ฉับพลันความคิดชั่ววินาที...ฉันนึกละอายใจตัวเองมาก...ทำไมถึงยึดติดถึงเพียงนี้...
นี่หรือคือความรักที่ฉันมอบให้โอชิน... ฉันอยากให้มันเกิดมาเป็นหมาอีกชาติหนึ่งหรือ ? ...
ฉันกล้าทำร้ายมันได้ถึงเพียงนี้หรือ ?... เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน นั้นกรรมคงหนักอยู่
แล้วฉันอยากให้มันเกิดมาเป็นสัตว์อีกชาติหรือไร ? ทำไมฉันไม่ขอให้โอชินเกิดมาเป็นมนุษย์
ในชาติหน้าเหล่า ? ทำไมฉันไม่ดีใจที่มันละสังขารของสัตว์เดรัจฉานไปได้ ?

ฉันอาลัยอาวรณ์ว่า โอชินเป็นหมารักของฉัน อาลัยอาวรณ์ผูกพันถึงชาติหน้าของมัน
ให้มาเกิดเป็นหมาในบ้านฉันอีกรอบ...

ความรักเพียงชั่ววูบของฉัน หากไม่มีสติ คำอธิษฐานของฉันจะแรงแค่ไหน...
มันคงทำร้ายโอชินถึงชาติหน้า...

...

เต็ม...หรือ...ว่าง...เท่ากัน...

...

แค่โอชินจะอยู่ในใจฉันตลอดไปเท่านั้น...เป็นบทเรียนในชีวิตของความมีสติ..

สติแห่งธรรม

ฉันเพียงแค่ขอให้โอชินได้บุญกุศลของฉันไปเท่านั้น...
หากมากพอก็ขอให้ไปเกิดเป็นมนุษย์มีโอกาสได้ทำความดีสะสมยิ่งๆขึ้นไป...
อย่าเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ไม่มีโอกาสได้สะสมบุญอีกเลย...

และสติแห่งการใช้ชีวิตที่ผูกพันกับหมา
บทเรียนของการรับผิดชอบชีวิตหนึ่งให้อยู่สุขสบาย...จนวินาทีสุดท้ายของเขา...

...

ใครๆที่บ้านก็คิดถึงโอชิน เต้าหู้คงคิดถึงที่สุดเพราะขาดคู่หู พี่ตูนก็คิดถึงเหมือนกัน



วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2550

...แห่งความเติมตื้นและชื่นชม...




วันนี้ก็เหมือนทุกๆวันหยุดเสาร์อาทิตย์ของฉัน นั่งเล่นเน็ท เปิดอ่านกระทู้ในเว็บพันทิพ แต่ที่จะไม่เหมือนทุกๆวัน ก็คือ ฉันได้รับความรู้สึกที่เปี่ยมล้น กับการได้เห็นใครทำอะไรในสิ่งที่ตัวเองรักอย่างมาก


มีกระทู้หนึ่ง ที่เจ้าของกระทู้เข้ามาถามว่า ทำไมวันนี้โลโก้เว็บ Google จึงแปลกไป คำตอบเอื้อเฟื้อหลากหลาย จนนำฉันไปสู่ความเติมตื้น...

โลโก้ Google เปลี่ยนไป มีเหตุเพราะ รำลึกถึง Luciano Pavarotti นักร้องโอเปร่าชาวอิตาเลี่ยน เสียงเทอเนอร์ ซึ่งเป็นเสียงต่ำที่สุดของนักร้องชาย เขาเป็นตำนานระดับพระกาฬ ในหมู่แวดลงโอเปร่า

(ดูประวัติ เขาได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Luciano_Pavarotti)


ฉันชอบคำโปรยของ ผู้แสดงความเห็นหนึ่งในกระทู้นั้นคือ “เป็นมนุษย์อีกคนที่ได้รู้ว่าชีวิตเค้าเกิดมาเพื่อทำอะไร” และยิ่งเมื่อได้ดูคลิปวิดิโอที่สร้างชื่อให้ Pavarotti แม้ฉันจะหัวสูงไม่พอทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงโอเปร่า แต่ครั้งนี้ ความรู้สึกแห่งท่วงทำนอง บทเพลง ความทรงพลังของน้ำเสียง และที่สำคัญที่สุด คือ ความเชื่อมั่นในสิ่งที่ Pavarotti รัก

ทุกอย่างกลับกระตุ้นความรู้สึกของฉันให้ซึมซับจนนำไปสู่ ความเต็มตื้นในบทเพลงเหล่านั้นได้... ฉันรับรู้ได้ในทันทีว่า เขารักในบทเพลงและสิ่งที่เขาทำขนาดไหน... ขอแค่เพียงได้ขับขาน เพื่อขับกล่อม ผู้คน ก็คงมีความสุขล้นหัวใจ...

น่าเสียดาย ที่ฉันรู้จักเขาช้าไป...

Pavarotti ได้เสร็จสิ้นหน้าที่ที่เขารัก ต่อ ชาวโลกในการขับขานบทเพลง
เมื่อวันที่ 6 กันยายน ที่ผ่านมา ด้วยวัย 71 ปี... จะมีใครสักกี่คนนะ ที่เกิดมาแล้วรู้ว่า ตัวเองได้เกิดมาเพื่อสิ่งใดและได้สานต่อสิ่งนั้น ต่อ ชาวโลก บ้าง...

ไม่ทันพ้นความคิดเหล่านั้น เลื่อนกระทู้ลงมาเรื่อยๆ ก็พบว่า ยังมีอีกบุคคลหนึ่ง...

Paul Potts เริ่มต้นจากโชว์ Britain's got Talen ของอังกฤษ ลักษณะโชว์ เหมือน Academy Fantasia บ้านเรา รอบแรกที่เขาขึ้นเวที มองภายนอกผิวเผิน คงไม่มีใครคาดคิดว่า เขาจะได้เป็น The winner ด้วยสูทที่เขาใส่ ที่หนึ่งในคณะกรรมการ วิจารณ์ด้วยคำว่า terrible และใบหน้าที่ประหม่าและเกร็งอย่างมาก

แต่ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป ฉันรับรู้ได้จากการตอบคำถามของเขาต่อกรรมการหญิง ที่ถามเขาว่า วันนี้คุณมาทำอะไรที่นี่

เขาตอบง่ายๆ สั้นๆ ว่า ผมมาร้องโอเปร่าครับ ... แม้หน้าจะประหม่าเหลือเกิน แต่มีอะไรบางอย่างที่ลึกมากกว่านั้น ...เหมือนเชื่อมั่น... ใน สิ่งที่ตัวเอง กำลังทำ


เมื่อเขาร้อง... น้ำเสียงก้องกังวาล ทรงพลัง เติมความรู้สึกรักในสิ่งที่ทำของผู้ร้อง...

เสียงตบมือกึกก้องทั่วเวที... และแล้ว เขาก็ผ่านเข้ารอบและเป็นผู้ชนะในที่สุด...

หากจะกล่าวว่าเพราะน้ำเสียงที่ทรงพลังขนาดนั้น ทำให้เขาชนะ ฉันไม่นึกเถียงแม้คำ แต่ที่ฉันมั่นใจว่า ที่เขาชนะการแข่งขันแล้วสามารถครองใจคนดูได้ เพราะ ความรู้สึกมุ่งมั่นและเชื่อถือในสิ่งที่ตัวเองทำ ด้วยต่างหาก

ฉันขนลุกซู่ พร้อมกับหยาดน้ำตาเล็กๆแห่งความตื้นตัน... แทนเขา...

Paul ก็เหมือน Pavarotti น้ำเสียงของเขา ไม่เพียงแต่ได้ขับขานท่วงทำนอง ให้ผู้ฟังบันเทิงเริงใจ แต่ยังนำไปสู่ ความชื่นชม ชื่นมื่น และแรงบันดาลใจ ในการเลือกที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองรักให้ดีที่สุด และมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำ...
"I Think a life in music is a life beautifully spent
and this is what I have devoted my life to"
- Luciano Pavarotti -




คิดว่าจะจบบทความที่เท่านั้นแต่ก็กลับมาต่อจนได้

อยากเขียนถึง Pavarotti ขึ้นมาอีก เพราะได้ดูคลิปที่เขาร้อง Feat กับนักร้องหลายๆคน ฉันมักจะรู้สึกดีเสมอๆ กับสิ่งที่ต่างกันสุดขั้วแต่พยายามโยงเข้าหากัน

Pavarotti เป็นศิลปินโอเปร่าก็จริง แต่เท่าที่ดูคลิปจาก Youtube แล้ว พบว่าเขาจัดคอนเสิร์ตเพื่อการกุศล โดยไปร้องคู่กับนักร้องสมัยใหม่อยู่หลายคลิป เช่น Spice girl, u2, The Cranberry, Mariah Carey, Elton John หรือแม้แต่วงอย่าง Queen!!
แต่ที่ดูจะถูกใจฉันที่สุดก็คงเป็น Pavarotti ร้องคู่กับ Liza Minelli ในเพลง New York, New York

แหม เพลงนี้มันถูกจังหวะหัวใจเต้นของฉันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอ Feat กันแบบนี้ จะไม่ให้กรี๊ดได้อย่างไร

ฉันขำ Pavarotti อยู่หน่อย ก็ตรงที่เขามาจากนักร้องโอเปร่า นั้นหมายถึง ความเรียบหรูแต่สง่างาม เน้นไปที่น้ำเสียงเสียมากกว่า ดังนั้นท่าทางของเขาก็จะติดรูปแบบอย่างนี้มา แม้กระทั่งเพลงที่น่าเต้นสวิงอย่าง New York, New York ไม่ว่า Liza Minelli จะพยายามชวนเต้นอย่างไร Pavorotti ก็ยังคงได้แค่ ขยับซ้าย ขยับขวาเท่านั้น แต่ก็ดูเป็นอะไรที่น่ารักมากๆ สำหรับตัวเขาเอง

พูดแล้วก็นึกถึง ท่อน My little town blues เสียงของ Pavarotti ขึ้นท่อนนี้ได้น่ารักน่าชังมากๆ เชียวละ



สนใจดูคลิป Pavarotti & Liza Minelli ในเพลง New York,New York
http://www.youtube.com/watch?v=X23tIynbjCQ&mode=related&search=

หรือสนใจ paul มากกว่าดูที่ http://www.youtube.com/watch?v=hVrHiLdmt4w

ลิ้งค์พันทิพ ต้นตอแห่งบทความนี้ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X5912368/X5912368.html
ป.ล. ฉันวางแผนไว้ว่า สำหรับบล็อคๆนี้แล้ว ฉันจะเขียนด้วยภาษาที่เย็นๆ เรียบๆ แต่พอเจอจังหวะสวิงกับสิ่งที่ถูกใจเข้าให้ แผนที่วางไว้ก็เป็นอันล่มสลาย ตามจังหวะมันส์สุดเหวี่ยงและความน่ารักของ Paborotti ทันที

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2550

ณ เสี้ยวความคิด "ครั้งหนึ่ง ที่ Battery Park, New York city"


ณ เสี้ยวความคิด "ครั้งหนึ่ง ที่ Battery Park, New York city"

ก่อนเดินทางมาเยือน ฉันได้อยู่เมืองเล็กๆเมืองหนึ่งในเท็กซัส

ด้วยความเล็กของเมือง วิถีชีวิตจึงแตกต่างจากเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ค ...

พอหลายคนได้ทราบว่าฉันเลือกที่จะไปเที่ยวที่นั้น เกือบทุกคนก็เตือนเป็นเสียงเดียวกัน

...ไปในทิศทางที่ค่อนข้างโหดร้ายนักต่อเมืองของเลดี้ลิเบอร์ตี้

บทสรุปต่อคำบอกเล่าบอกต่อทั้งหลายทั้งมวลคือ

นิวยอร์คน่ากลัว คนไม่เป็นมิตร เป็นพวกเดินเร็วๆ ไม่สนใจใคร

ผู้คนแล้งน้ำใจ ถ้าใครเกิดมีปัญหาอะไรขึ้นมา ก็คงหาคนช่วยเหลือได้ลำบากลำบน

แต่ทัศนคติเมื่อได้ไปอยู่(เที่ยว) ก็เปลี่ยนไป ยิ่งตอนโผล่ขึ้นมาจากรถไฟใต้ดิน

แล้วงงๆ จับทิศจับทางจะไป Battery Park เพื่อลงเรือไปดูเทพีสันติภาพ ไม่ถูก

เวลานั้น เป็นเวลาเช้า กับสถานที่ทางใต้ของเกาะแมนฮัทตัน มันเป็นย่านธุรกิจของคนที่นั้น

หลายคน ใส่สูทหรือไม่ก็ชุดทำงานดูภูมิฐาน เดินขึ้นจากรถไฟได้ก็รีบจ้ำ มุ่งหน้าไปทางเดียวกันเหมือนโดนโปรแกรม

มีกระเหรี่ยงสามตัว โผล่ขึ้นมาด้วยเหมือนกัน แต่กระเหรี่ยงสามตัวไม่ได้โดนโปรแกรมอย่างผู้คนส่วนใหญ่

จะมีก็กระเหรี่ยงสามตัว นี่แหละ ที่พยายามหาที่หยุดเดิน ยืนถกเถียงด้วยภาษาประหลาดๆของคนที่นั่น

ชี้โบ้ชี้เบ้ ตามแต่ความคิดของแต่ละคนว่าควรจะไปทางทิศทางใด

รอบกาย ถูกฝูงมนุษย์ทำงานเดินหลบหลีก ชนไหล่ ไปตลอดระยะเวลาหาข้อตกลง

ฉันอยากจะคว้าใครสักคนมาถามเสียจริงๆว่า Battery Park เนี่ยมันอยู่ตรงไหนแต่พอเห็นสีหน้า และท่าทางรีบเร่งแบบนั้น ก็ได้แต่ถอนใจ

จะมีใครกันเล่าในเมืองใหญ่ๆ โดยเฉพาะย่านธุรกิจแบบนี้ ที่จะเสียเวลาไปกับเรื่องที่ทำเงินให้เขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

ไม่ทันพ้นความคิดนั้นของฉัน...

จู่ๆก็มีผู้ชายฝรั่ง แต่งสูทผูกไท้อย่างดี เข้ามาถามว่า พวกคุณจะไปไหน ไปเทพีสันติภาพหรือเปล่า ?

แล้วนั้นเอง ก็เป็นจุดเปลี่ยนความคิดของฉันต่อบิ๊กแอปเปิ้ล เพียงแค่เสี้ยวเล็กๆ ที่เปลี่ยนความคิดคนได้

เท่านั้นฉันก็ลบความคิดในแง่ร้ายต่อนิวยอร์คออกทันที... ทุกที่ก็เหมือนกันใช่ว่าจะมีคนแล้งน้ำใจอยู่ในเมืองใหญ่อย่างเดียวเสียเมื่อไหร่กัน...

ใครว่านิวยอร์คเกอร์แล้งน้ำใจ จะเถียงให้ขาดใจสุดดิ้น...