วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

โอชิน...พี่ตูนคิดถึง...

เช้าวันวิสาขบูชาที่ 19 พ.ค. 51

ม่านตาหนาหนักลงมาจะปิดตาเพราะความบวมน้ำอย่างรู้สึกได้...แต่แปลก ที่ฉันก็ข่มให้ม่านตานั้นปิดลงหลับไม่ได้เลย...
ไม่แน่ใจว่าเมื่อคืนได้นอนหรือเปล่า...สมองว่างและตื้อชอบกล...

อุ๋มเข้ามาปลุกแล้วบอกว่า โอชิน ตายแล้วนะ ... ฉันตอบน้องกลับไปว่า
“รู้แล้วนั่งเฝ้ามันเมื่อคืนไม่ได้นอนเลย”
หลังจากคำตอบของฉัน อุ๋มก็เดินออกจากห้องไป...
ฉันพยายามข่มตาให้หลับอีกครั้ง แต่ก็ทำไม่ได้เช่นเคย...

วันนี้วัน “วิสาขบูชา”..
เมื่อนอนหลับไม่ได้ ก็ลุกขึ้นมา...เพื่อเผชิญกับความจริงว่า ...
เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดาของโลก...

น้ำตาเหือดแห้งหายไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืน ฉันคิดว่าฉันทำใจได้แล้วที่จะไม่ร้องไห้...

แต่ก็ต้องมาพบว่าจิตใจตัวเองเปราะบางเกินไป ลุกขึ้นได้ฉันก็เดินไปหน้าประตูที่ที่โอชิน
จะนอนอยู่ประจำ และเป็นที่ที่สุดท้ายของมัน...

ว่างเปล่า...

“คุณพ่อเอาโอชินไปไว้ไหน” ฉันรู้ว่ายังไม่ได้ฝัง เพราะคุณพ่อกับคุณแม่จะต้องไปทำบุญที่วัดก่อน
ถ้าขุดหลุมฝังคงจะไม่ทันแน่
“ไว้หลังบ้านก่อน เดี๋ยวมาฝัง” เท่านั้นเอง น้ำตาฉันก็ไหล
รีบเดินไปดูหลังบ้าน ก็ไม่เห็น ไม่แน่ใจว่าหลังบ้านตรงไหนกันแน่
แต่ก็ไม่อยากหา เพราะกลัวเห็นแล้วจะร้องไห้ไปมากกว่านี้...

เปล่าเลย...ฉันร้องไห้มากกว่าที่ฉันกลัวเสียอีก...

ฉันเดินไปอุ่นก๋วยจั๊บที่คุณแม่ซื้อมาเมื่อคืน...แกะถุง...เทน้ำซุปลงบนชาม...น้ำตาก็ไหลพร่างพรู...
เปิดไมโคเวฟ...ปิดมัน...อุ่นชามนั้น...ยืนดูจนน้ำซุปเดือดปุดๆ...น้ำตายังไหลเป็นทาง...
ตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะกินข้าว..แปรงฟัน...อาบน้ำ...ฉันก็เลือกที่ปล่อยให้ใจมันร้องไปเสียอย่างนั้น

...

ฉันกลั้นน้ำตาของตัวเองไปไว้ไม่ได้เลยสักนิด...
ตอนเช้าที่เจอแม่เม้า...รู้สึกได้เลยว่า แม่เม้าชะงักไปนิดตอนเจอฉัน...
เขาคงคิดว่าฉันไม่รู้ละมั้ง...

...“มันไปแล้ว”...

น้องอุ๋มบอกว่า แม่เม้าไม่กล้าเปิดประตูตอนเช้า วันนี้วันพระแม่เม้าต้องไปทำบุญที่วัด
แม่เม้าจะเป็นคนแรกในบ้านที่ตื่น และตามปกติ แม่ก็จะเปิดประตูบ้าน...
แต่เช้านี้แม่เม้า กลัว...ความจริง...ที่ต้องเผชิญ...

อุ๋มลุกแล้วเดินเข้าห้องพระ มองไปที่หน้าต่าง...
ฉันเลยรู้ว่าโอชินนอนอยู่ตรงไหน หลังบ้านของคุณพ่อ ก็คือข้างบ้าน ที่ประจำที่หมาบ้านเราจะถูกฝังที่นั้น...
ฉันเดินตามน้องเข้าไป เห็นผ้าปูนอนของมันเมื่อคืน...ไม่เห็นร่างโอชินหรอกนะ และก็ไม่เดินออกไปดูด้วย

เพราะกลัวใจตัวเองมากเกินไปแล้ว...

ภาพแรกที่ฉันได้เจอโอชินยังอยู่ในความทรงจำ
พอแม่ได้มาก็จับโอชินไว้ในกรงหมาที่พ่อต่อขึ้นมา...กรงนี้ตั้งอยู่หลังบ้าน...
ฉันเห็นหลังโอชินก่อนเป็นอันดับแรก
โอชินนั่งเหม่อมองไปอีกบ้านหนึ่ง แม่ว่ามันชื่อโอชิน...ฉันก็เรียกมัน...โอชินหันมาหาฉันด้วย...
แต่ด้วยท่าทางตื่นตระหนก ช่างตรงกันข้ามกับฉันเสียจริงๆ...ที่ตื่นเต้นที่ได้เจอมัน...

ในตอนแรกโอชินเป็นหมาขี้ขลาด...ไม่อ้อนเลยด้วยซ้ำ...
ไม่เห่าเลยจนใครๆก็สงสัยว่ามันส่งเสียงได้หรือเปล่า

แต่หลังๆมา เหมือนจะได้ลิ้มลอง การเห่า มันก็เห่าไม่หยุดเลย

ในตอนแรกโอชินยังโดนสีเงิน หมาเก่าที่อยู่ที่บ้านมาก่อนคอยข่ม...
ทั้งๆที่สายเลือดของมันไม่ยอมใคร...

ฉันจำได้ทั้งหมด พอๆกับเรื่องราววีรกรรมของมัน
ที่คู่หู-เต้าหู้ ชอบลากไปหาเรื่องหมาบ้านอื่น หรือหาเรื่องคนให้บ้านเราต้องรับผิดชอบ

หรือท่าทางที่มันชอบนอน กริยาที่บ่งบอกถึงความขี้เกียจ ไม่ว่าจะเป็นการนอนขาแบะขวางทางประตู
หรือนอนเอาคางเกยไว้บนขอบพื้น หน้าประตูที่ยกสูงขึ้นมาจากหน้าบ้าน...

จน...ถึงภาพสุดท้ายของมันเมื่อคืนนี้...

ฉันบอกให้โอชินอดทนทุกครั้ง...เพราะเชื่อในความอึดของมัน...แต่ครั้งนี้มันคงทนไม่ไหวแล้วจริงๆ...
ตอนที่ฉันพบมันหมดลมหายใจ...ตัวมันยังอุ่นอยู่เลย...ฉันน่าจะอยู่ข้างๆมันจนมันสิ้นใจ...

ฉันเขย่าตัวมัน เรียกชื่อมัน แต่มันคงไม่หันมาอีกแล้ว...ตาโอชินยังไม่ปิดเลยด้วยซ้ำ

ฉันไม่แน่ใจว่าเพราะฉันบอกมันให้อดทนไว้หรือเปล่า...มันถึงพยายามไม่ให้ตัวเองหายไป...

...

ความไม่เที่ยงเป็นสิ่งเที่ยงแท้ถาวร...เป็นกฏอนันตกาล...บนโลกใบนี้...
สังขารย่อมแตกตับไปตามกฏนั้น...

...

ฉันขังตัวเองไว้กับความเศร้าเสียใจ...ทั้งวัน...
ฉันเก็บความเศร้าโศกเป็นเงาไว้ดำทะมึน บดบัง...ความจริงอีกเสี้ยวไว้...

...

วันนี้วันวิสาขบูชา...ฉันควรจะ “ตื่น” เสียที

...


ฉันไม่ได้นอนเลยตั้งแต่ตีหนึ่งเมื่อคืนจนถึงเที่ยงวันของวันวิสาขบูชา...
ร่างกายฉันเริ่มอุธรณ์ร้องเตือนให้ฉันไปนอนโดยเร็วด้วยอาการปวดหัว...
ฉันเลยเข้าไปนอนในช่วงนั้นและหลับยาว จนอุ๋มเข้ามาถามว่า จะไปกินไอติมไหม ป้ารินทร์จะมารับ...
ฉันก็ตอบรับไป และตอนเย็นเลยได้ออกไปข้างนอก...น้ำตาแห้งไปมากแล้ว

แต่ตาฉันก็ยังช้ำเหมือนเป็นเครื่องเตือนว่าความเศร้าไม่ได้จางหายไปไหน...

เมื่อได้ออกไปนอกบ้านซึ่งเย็นมาก...เลยคิดชวนน้ารินทร์ ไปเวียนเทียน
เวลาประจวบเหมาะพอดี เลยได้ไปกัน...

ฉันไม่ได้เวียนเทียนมานานแล้ว...ครั้งนี้มีโอกาสก็อยากจะรีบทำ
เพราะอยากจะอุทิศส่วนกุศลให้โอชินไปด้วย...

...

ธรรมะเป็นเครื่องดับทุกข์ของมนุษย์...

...

ผู้คนครึกครัก ต่างถือดอกไม้ ธูป เทียน เตรียมพร้อมเวียนเทียน
คนใดมาก่อนจะรีบไปก็ไม่ต้องรอฤกษ์เวียนไปก่อนได้ทันที
ควันธูป ควันเทียน ฟุ้งไปทั่วบริเวณนั้น ฉันก็ร่วมเดินกับเขา ในใจคิดอุทิศส่วนกุศลให้โอชินอย่างเดียว

แน่วแน่เดินให้ครบสามรอบ... พุทโธ ธรรมโม สังโฆ...
ด้วยหวังว่าความตั้งใจของฉันจะส่งผลให้กุศลในการทำเช่นนี้แรงกล้าแผ่ไปถึงโอชินได้

ระหว่างขาก้าวไปแต่ละก้าว ฉับพลัน ความคิดก็แล่นคืนย้อนสู่อดีต...
ใช่แล้ว...จงกรม...สติตั้งมั่น เป็นตัวจับอยู่กับความรู้สึกที่เกิดขึ้น...
เศร้าหรือ ? ... เสียใจหรือ ? ... โศกาอาดูรหรือ ? ...

ทั้งหมดก็แค่นั้น เกิดขึ้น เดี๋ยวก็ดับไป...

แล้วฉันก็เริ่มจับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้เรื่อยๆ...

ด้วยความที่รีบออกเดินไปก่อน ทั้งๆที่จะถึงฤกษ์เวียนเทียนอย่างเป็นทางการของหอพระ
ทำให้รอบสุดท้ายของฉัน เป็นรอบเริ่มต้น ของฤกษ์ทางการพอดี
ฉันเลยเดินแยกออกมาจากแถวและหยุดนั่งพนมมือสวดมนต์ บนสนามหญ้าข้างๆทางเดินเวียนเทียนนั้น...

จิตใจสงบขึ้นอย่างประหลาด...และเริ่มปล่อยว่างลงเรื่อยๆ...

ตลอดระยะเวลาแห่งการเดินเวียนเทียนและนั่งสวดมนต์ภาวนา
ฉันได้ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลครั้งนี้ให้กับโอชิน หมาที่ฉันรักและผูกพันไปหมดทั้งสิ้น

ความจริงเกิดขึ้นแล้ว และเอาอดีตคืนมาก็ไม่ได้แล้ว...ที่ฉันทำได้คืออยู่กับปัจจุบันเท่านั้นเอง

หลังจากจบพิธี ฉัน น้องอุ๋ม และน้ารินทร์ เดินออกจากหอพระ ไปยังรถที่จอดไว้ ...
สองขาก้าวพ้นหอพระไปเรื่อย ฉันเอง กลัวว่าสิ่งที่ฉันอุทิศให้กับโอชินจะยังไม่พอ
เลยภาวนาในใจอีกรอบว่า ขออุทิศส่วนบุญนี้ให้กับโอชิน หมาที่บ้านไปทั้งหมด
และกำลังจะพลั้งความคิดต่อไปว่า ขอให้มาเกิดเป็นหมาบ้านเราอีก...
...

สติมา ปัญญาจึงเกิด

...

ฉับพลันความคิดชั่ววินาที...ฉันนึกละอายใจตัวเองมาก...ทำไมถึงยึดติดถึงเพียงนี้...
นี่หรือคือความรักที่ฉันมอบให้โอชิน... ฉันอยากให้มันเกิดมาเป็นหมาอีกชาติหนึ่งหรือ ? ...
ฉันกล้าทำร้ายมันได้ถึงเพียงนี้หรือ ?... เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน นั้นกรรมคงหนักอยู่
แล้วฉันอยากให้มันเกิดมาเป็นสัตว์อีกชาติหรือไร ? ทำไมฉันไม่ขอให้โอชินเกิดมาเป็นมนุษย์
ในชาติหน้าเหล่า ? ทำไมฉันไม่ดีใจที่มันละสังขารของสัตว์เดรัจฉานไปได้ ?

ฉันอาลัยอาวรณ์ว่า โอชินเป็นหมารักของฉัน อาลัยอาวรณ์ผูกพันถึงชาติหน้าของมัน
ให้มาเกิดเป็นหมาในบ้านฉันอีกรอบ...

ความรักเพียงชั่ววูบของฉัน หากไม่มีสติ คำอธิษฐานของฉันจะแรงแค่ไหน...
มันคงทำร้ายโอชินถึงชาติหน้า...

...

เต็ม...หรือ...ว่าง...เท่ากัน...

...

แค่โอชินจะอยู่ในใจฉันตลอดไปเท่านั้น...เป็นบทเรียนในชีวิตของความมีสติ..

สติแห่งธรรม

ฉันเพียงแค่ขอให้โอชินได้บุญกุศลของฉันไปเท่านั้น...
หากมากพอก็ขอให้ไปเกิดเป็นมนุษย์มีโอกาสได้ทำความดีสะสมยิ่งๆขึ้นไป...
อย่าเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ไม่มีโอกาสได้สะสมบุญอีกเลย...

และสติแห่งการใช้ชีวิตที่ผูกพันกับหมา
บทเรียนของการรับผิดชอบชีวิตหนึ่งให้อยู่สุขสบาย...จนวินาทีสุดท้ายของเขา...

...

ใครๆที่บ้านก็คิดถึงโอชิน เต้าหู้คงคิดถึงที่สุดเพราะขาดคู่หู พี่ตูนก็คิดถึงเหมือนกัน



ไม่มีความคิดเห็น: